ชุมชนเข้มแข็งทางเลือกใหม่ของการพัฒนา
ที่มา http://www.rakbankerd.com/
จากการวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มขึ้นในปลายปี 2539 ซึ่งเป็นปีแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้ก่อให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคม ประเด็นเรื่อง ชุมชนเข้มแข็ง จึงได้รับการหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเป็นอันมาก ในฐานะที่เป็นทางเลือกที่สำคัญของการพัฒนา เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้เพียงลำพังดังนั้นหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องให้ความสำค้ญต่อกระบวนการพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางตามหลักปรัชญาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 โดยการเพิ่มศักยภาพของคนและชุมชนให้เข้มแข็ง มีความพร้อมในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ความเข้มแข็งของชุมชนจึงเป็นฐานสำคัญในการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการสร้างกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
ความหมายของชุมชนเข้มแข็ง
เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน จึงต้องเริ่มจากการใช้จุดแข็งในสังคม และทุนทางสังคมที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุมชนซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ได้มีการให้แนวคิดและความหมายของชุมชน และความเข้มแข็งของชุมชน เพื่อเป็นแนวทางและการนำไปสู่การปฏิบัติตามยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาไว้ดังนี้
ชุมชน หมายถึง กลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกัน และมีการติดต่อสื่อสารเกี่ยวข้องกันอย่างเป็นปกติต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการอยู่ในพื้นที่ร่วมกันหรือมีอาชีพร่วมกันหรือการประกอบกิจการซึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน หรือการมีวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือความสนใจร่วมกัน (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) โดยความเป็นชุมชนอาจหมายถึงการที่คนจำนวนหนึ่งเท่าใดก็ได้มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีการติดต่อสื่อสารหรือรวมกลุ่มกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการเรียนรู้ร่วมกัน ในการกระทำ มีการจัดการ เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ร่วมกัน (ศ.นพ.ประเวศ วะสี)
จากความหมายข้างต้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ชุมชนมีความหมายมากกว่าการที่คนแต่ละคนมาอยู่ร่วมกัน แต่ได้สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีหลักการ เงื่อนไข กติกา ซึ่งเราเรียกโดยรวมว่าระเบียบบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกัน ชุมชนจึงมีลักษณะเป็นองค์กรทางสังคมที่สามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของสมาชิก และสามารถช่วยให้สมาชิกสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ร่วมกันได้
ความเข้มแข็งของชุมชน จึงหมายถึง การที่ประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ของเมืองหรือชนบทรวมตัวกันเป็น องค์กรชุมชน โดยมีการเรียนรู้ การจัดการและการแก้ไขปัญหาร่วมกันของชุมชนแล้วถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนตลอดจนมีผลกระทบสู่ภายนอกชุมชนที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยจะเรียกชุมชนนี้ว่า กลุ่ม ชมรม สหกรณ์ บริษัท องค์กรชาวบ้าน เครือข่ายหรืออื่น ๆ ที่มีความหมายแสดงถึงการร่วมมือช่วยเหลือกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และด้วยความเอื้ออาทรต่อชุมชนอื่น ๆ ในสังคมด้วย ทั้งนี้ องค์กรชุมชน หมายถึง กลุ่มหรือชมรมหรือสหกรณ์ หรือในชื่ออื่นใด โดยจะมีการจดทะเบียนตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม อันเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวด้วยความสมัครใจของประชาชนจำนวนหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์และอุดมคติร่วมกัน มีมิตรภาพและความเอื้ออาทรต่อกัน มีการเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่องในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม มีผู้นำตามธรรมชาติเกิดขึ้นโดยผ่านกระบวนการทำงานร่วมกัน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนอาศัยอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยในแต่ละชุมชนจะมีการพัฒนาไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชนในมิติต่าง ๆ เช่นมิติทางด้านเศรษฐกิจมิติทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ มิติทางด้านสังคม และมิติทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนนั้น อาจพัฒนาความเข้มแข็งได้เพียงบางมิติเท่านั้น เนื่องจากเงื่อนไขและกระบวนการที่นำไปสู่ความเข้มแข็งในแต่ละมิติของแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกัน
องค์ประกอบของชุมชนเข้มแข็ง
จากการดำเนินงานเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน คณะอนุกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตภายใต้คณะกรรมการนโยบายสังคมแห่งชาติ ได้กำหนดกรอบองค์ประกอบของชุมชนเข้มแข็งไว้ว่าจะต้องประกอบด้วย
- บุคคลหลากหลายที่รวมตัวกันเป็นองค์กรชุมชนอย่างเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม
- มีเป้าหมายร่วมกันและยึดโยงเกาะเกี่ยวกันด้วยประโยชน์สาธารณะและของสมาชิก
- มีจิตสำนักของการพึ่งตนเอง รักษาเอื้ออาทรต่อกัน และมีความรักท้องถิ่น รักชุมชน
- มีอิสระในการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมทำและร่วมรับผิดชอบ
- มีการระดมใช้ทรัพยากรในชุมชนอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
- มีการเรียนรู้ เชื่อมโยงกัน เป็นเครือข่ายและติดต่อสื่อสารกันหลายรูปแบบ
- มีการจัดทำกิจกรรมที่เป็นสาธารณะของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
- มีการจัดการบริหารกลุ่มที่หลากหลายและเครือข่ายที่ดี
- มีการเสริมสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของชุมชนสืบทอดกันตลอดไป
ลักษณะของชุมชนเข้มแข็ง
ชุมชนที่มีความเข้มแข็งมีลักษณะที่สำคัญดังนี้คือ
- สมาชิกของชุมชนมีความเชื่อมันในศักยภาพของตนและชุมชนที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง
- สมาชิกของชุมชนพร้อมที่จะร่วมกันจัดการกับปัญหาของตนและชุมชน
- มีกระบวนการของชุมชนที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจน เป็นวิถีของชุมชน ภายใต้การสนับสนุนของผู้นำองค์กรชุมชน ในลักษณะเปิดโอกาสให้กับสมาชิกทั้งมวลเข้ามามีส่วนร่วม โปร่งใส และพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ
- สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินสถานการณ์ของชุมชนกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม ร่วมคิด ตัดสินใจ ดำเนินงาน ติดตามและประเมินผลการแก้ปัญหาและการพัฒนาของชุมชนผ่านกระบวนการชุมชน
- สมาชิกชุมชนเกิดการเรียนรู้ผ่านการเข้าร่วมในกระบวนการของชุมชน
- มีแผนของชุมชนที่ประกอบด้วยการพัฒนาทุก ๆ ด้านของชุมชน ที่มุ่งการพึ่งตนเอง เอื้อประโยชน์ต่อสมาชิกชุมชนทุก ๆ คนและมุ่งหวังการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน
- การพึ่งความช่วยเหลือจากภายนอก เป็นการพึ่งเพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ในที่สุดไม่ใช่การพึ่งพาตลอดไป
- มีเครือข่ายความร่วมมือกับภาคีการพัฒนา อาจเป็นหมู่บ้านชุมชนอื่น ๆ ท้องถิ่น ภาคราชการ องค์กรเอกชน นักธุรกิจ นักวิชาการ และอื่น ๆ ในลักษณะของการมีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เพื่อเป็นฐานรองรับการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมพร้อมกันทุกด้าน หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ จึงต้องผนึกกำลังดำเนินงานการเสริมความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง ด้วยการกระตุ้นและสร้างกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วม รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมให้ชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกันทำและมีการเรียนรู้เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันอันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้มีกิจกรรมหลักที่ดำเนินการเสริม สร้างความเข้มแข็งของชุมชน ได้แก่
1. การส่งเสริมกระบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อเผชิญปัญหาวิกฤต โดยพัฒนาศักยภาพให้คนในชุมชนรวมกลุ่มกันร่วมคิดร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมรักษาผลประโยชน์ของชุมชนด้วยตนเอง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับวิธีคิดและวิธีการทำงานของบุคลากรภาครัฐจากการเป็นผู้สั่งการเป็นผู้สนับสนุนในการจัดการและแก้ไขปัญหาของชุมชนเอง
2. การส่งเสริมกระบวนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในลักษณะ ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ประกอบด้วยกระบวนการส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนได้มีการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน การพัฒนาสวัสดิการสังคมและสวัสดิภาพของชุมชนการฟื้นฟูอนุรักษ์และจัดการทัพยากรธรรมชาติของชุมชน การค้นหาศักยภาพและการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการจัดทำแผนความต้องการของชุมชน รวมทั้งการสร้างประชาคมภายในชุมชนและการสร้างเครือข่ายของชุมชน
ชุมชนดำรงอยู่ : ประเทศชาติดำรงอยู่
การดำรงอยู่ของคนในชุมชน โดยเฉพาะในชุมชนชนบทจะดำรงอยู่ด้วยการต่อสู้ดิ้นรนในการทำมาหากิน เพื่อความอยู่รอดของตนเอง การต่อสรู้ดิ้นรนของชุมชนชนบทดูเหมือนจะต้องมีการต่อสู้ดิ้นรนอยู่อย่างตลอด ทั้งจากธรรมชาติแวดล้อม การทำมาหากิน การถูกเอารัดเอาเปรียบจากผลผลิตของตนเอง ตลอดจนความด้อยการเหลียวแลเอาใจใส่จากภาครัฐ ส่งผลให้ชุมชนชนบทต้องอยู่ในสภาวะปากกัดตีนถีบ อย่างต่อเนื่องตลอดมา และไม่พ้นต้องกลับกลายมาเป็นแรงงานราคาถูก ทำงานที่ตนเองไม่ถนัด ถูกเอารัดเอาเปรียบทางแรงงาน ในเมืองใหญ่อย่างไรก็ดี ในชุมชนบทยังคงความดีงามในความสัมพันธ์ของชุมชนไว้อย่างไม่เลื่อมคลาย นั่นคือ ชุนชนชนบทคงมีความสัมพันธ์อยู่ 2 อย่าง คือ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ โดยสายเดือด หรือ โดยบรรพบุรุษ จากการตั้งบ้านเรือนและชุมชนของตน จากกลุ่มเล็ก ๆ ที่อพยพมาจากชุมชนเดียวกัน และมาตั้งบ้านเรือนใหม่ และความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนหนึ่งกับอีกชุมชนหนึ่ง โดยการนำสิ่งของตนที่มีอยู่ไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของชุมชนอื่น นอกจากนั้น ในชุมชนบทยังมีการแลกเปลี่ยน หรือพึ่งพาแรงงานกันระหว่างญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้าน เช่น การลงแขกในภาคกลาง การออกปากกินวาน ในภาคใต้ การเอามื้อ ในภาคเหนือ และการเองแฮง ในภาคอีสาน เป็นต้นอย่างไรก็ตาม ในชุมชนต่าง ๆ เราจะมองเห็นองค์ประกอบอย่างน้อย 3 องค์ประกอบที่ทำให้ชุมชนเกิดการรวมตัว เกิดกระบวนการเรียนรู้ และเกิดเครือข่ายการเรียนรู้เกิดขึ้น เพื่อการพึ่งพากันในชุมชนและการแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น ดังนี้
- คน ในชุมชนจะมีผู้นำที่มีความคิดก้าวหน้า ผู้นำที่มีจิตสาธารณะอยากทำงานเพื่อพัฒนาชุมชน และส่วนรวมอยู่ไม่เฉพาะผู้นำอย่างเป็นทางการเท่านั้น
- ความรู้ ในชุมชนต่าง ๆ จะมีความทรงคุณ ความรู้อยู่หลายด้าน หากเราสามารถนำเอาศักยภาพและภูมิความรู้ จากท่านเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะบังเกิดผลของการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในชุมชนได้เป็นอย่างดี
- ทรัพยากร แน่นอนที่สุดว่าในแต่ละชุมชนจะต้องมีทรัพยากรต่าง ๆ อยู่อย่างน้อยก็เป็นทรัพยากรที่ทำให้ชุมชนนั้น ๆ ดำรงอยู่และมีวิธีชีวิตเพื่อความอยู่รอดของตนได้
โดยสรุป หากนักพัฒนาทั้งหลาย ผู้นำชุมชน องค์กรเอกชนทั้งหลายที่มีแนวความคิดในการพัฒนาศักยาภาพชุมชนใดให้มีความเข้มแข็ง และยืนหยัดอยู่ด้วยการพึ่งพาตนเองได้แล้ว ย่อมต้องมองถึงศักยภาพในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ก็จะช่วยให้ชุมชนเหล่านั้นมีจุดเริ่มของการพัฒนาชุมชนที่ไม่ใช่เริ่มตั้งแต่ศูนย์ คือไม่มีอะไรเลย มาสู่กระบวนการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะนำพาชุมชน ไปสู่ความดำรงอยู่ได้ พึ่งพาตนเองได้ ซึ่งถ้าหากชุมชนทุกชุมชนดำรงอยู่และพึ่งพาตนเองได้ นั่นหมายถึง ประเทศชาติของเรา สามารถดำรงอยู่ และพึ่งพาตนเองได้ นั่นเอง
แผนแม่บทชุมชน : แผนแห่งการพึ่งพาตนเอง
หากกล่าวถึง แผนแม่บทชุมชนหลายคนคงมีความเข้าคิดว่า เป็นแผนใหญ่ระดับนโยบายที่มีแผนงาน / โครงการ หลายอย่างอยู่ในแผนแม่บทดังกล่าวนี้ แต่แท้จริงแล้ว แผนแม่บทชุมชนที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือ แผนแกนกลางของชุมชนที่มีกรอบ และแนวทางในการพัฒนาชุมชนนั้น ๆ นั่นเอง แผนแม่บทชุมชนจะเป็นเสมือนหนึ่งเส้นทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายตามแนวทางที่ชุมชนต้องการ อันจะนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ของชุมชนในการจะคิด ทำ และปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำกิจกรรมในชุมชน อันจะก่อประโยชน์แก่ชุมชนเอง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงาม ตลอดจนมองถึงสวัสดิการอันพึงมีที่ชุมชนต้องการให้เกิดผลย้อนกลับมายังสมาชิกของชุมชน กระบวนการเรียนรู้ ดังกล่าว จำเป็นต้องได้ รับการกระตุ้นอย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องอาศัยเวลา โอกาส เงื่อนไข และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี ขอทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า แผนแม่บทชุมชน ต้องเป็นกระบวนการตัดระบบการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาศักยภาพของชุมชน โดยชุมชน และเพื่อชุมชน นักพัฒนา (อาจต้องทำเป็นทีม) คือ ผู้กระตุ้น ผู้ประสาน ผู้อำนวยความสะดวก ตลอดจน ต้องเป็นผู้จัดเวทีการพูดคุย ผู้ช่วยจัดระบบข้อมูล และผู้ร่วมวิเคราะห์ข้อมูล เท่านั้น ส่วนการตัดสินใจเป็นเรื่องของชุมชน ที่เขาจะต้องตัดสินใจเองจากการที่เขาได้มีโอกาสพูดคุยจากข้อมูล จากการวิเคราะห์ข้อมูลของชุมชนของเขาเอง
หัวใจของกระบวนการทำแผนแม่บทชุมชน
ประทวน พิกุลทอง ได้ให้ข้อคิดในการจัดกระบวนการทำแผนแม่บทชุมชนว่า หัวใจของกระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชนนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
- ความพร้อมของผู้นำชุมชน
- ทีมหรือกลุ่มคนที่ต้องทำงานต่อเนื่องในชุมชน
- การจัดเวทีต่อเนื่องในชุมชน
- ความพิถีพิถันในการจัดเก็บข้อมูลของชุมชน ตลอดจนการตรวจสอบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
- การร่วมมือและช่วยกันระบบข้อมูล
- การสลายความเกรงใจกันเองของผู้นำชุมชน(ทีมหลายคน)ในเวทีวิเคราะห์แผนแม่บทชุมชน
- สุดท้ายต้องไม่ลืมว่าแผนที่เกิดขึ้นคือแผนของชุมชน
กระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชน
1. การจัดเวทีแลกเปลี่ยน เมื่อเราทำการคัดเลือกชุมชนที่จะดำเนินการจัดทำแผนแม่บทชุมชน แล้วสิ่งที่จะต้องดำเนินการที่สำคัญ คือ การจัดเวทีแลกเปลี่ยน การพูดคุยปรึกษาหรือ ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดทำแผน หาจุดร่วมความเต็มใจตั้งใจของชุมชน และแสวงหาความร่วมมือกับองค์กรชุมชนต่าง ๆ เช่น อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพระสงฆ์ เป็นต้น
2. กระบวนการจัดเก็บข้อมูล กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นกระบวนการที่สำคัญ และกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ดีที่สุด คือ ให้ชุมชนได้เก็บรวบรวมข้อมูลของเขาเอง เพื่อให้เขารู้จักชุมชนของตนเอง / ชุมชนอื่น ภูมิประเทศ ธรรมชาติ ผลผลิต สภาพความเป็นอยู่ วัฒนธรรมความเชื่อ กิจกรรมการพัฒนาในชุมชน การแสวงหาผู้นำที่ชุมชนมีความเชื่อถือ โดยการชี้แจงและชักชวน ซึ่งจะต้องเป็นผู้นำกิจกรรมผู้มีประสบการณ์ มีความคล่องตัว มีความรอบรู้ และมีความกระตือรือร้น
3. การวิเคราะห์จัดทำแผนแม่บทชุมชน โดยจะต้องพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา เพื่อดำเนินการ ดังนี้
3.1) ประมวลความเชื่อมโยงปัญหา วิธีแก้ปัญหา การบริหารจัดการเข้ากับข้อมูลศักยภาพ (ต้องมีวิทยากรนำ)
3.2) นำความคิดสู่ชุมชน จัดเวทีแลกเปลี่ยน
3.3) รวบรวมจัดหมวดหมู่ลำดับความสำคัญ
4. พัฒนาสู่โครงการ / กิจกรรม เมื่อได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยชุมชนแล้ว ก็จะนำเอาข้อมูลที่ได้มาพัฒนาสู่โครงการหรือกิจกรรม โดยพิจารณาตามความสำคัญของปัญหา ความเร่งด่วนของแหล่งทุน และการดำเนินการโดยไม่ต้องหางบประมาณ เป็นต้น
5. สิ่งที่ต้องไม่ละเลย และเป็นกรอบของการจัดทำโครงการ / กิจกรรมของชุมชน ก็คือ การพึ่งพาตนเองของชุมชน ลดการพึ่งพาจากภายนอกชุมชนให้มากที่สุด นั่นคือ แผนแม่บทชุมชนอย่างแท้จริง
บทส่งท้าย
การทำงานการพัฒนาชนบท หรือชุมชนแนวใหม่ ของบุคคลหรือองค์กรในภาครัฐ หรือเอกชนก็ตาม จำเป็นต้องมีการปรับบทบาทใหม่ ต้องละเลิกความเคยชินในระบบและวิธีการเดิม และต้องเข้าใจในองค์รวมของการพัฒนาชุมชนว่า " การพัฒนาชุมชน มิใช่การสงเคราะห์หรือการนำเงินทุนไปให้" หรือเปรียบเทียบ เช่นเดียวกับการที่ชุมชนอยากจะกินปลา นักพัฒนาจะต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ชุมชนรู้จัก เครื่องมือหาปลา เพื่อใช้ในการจัดปลา หรือให้ชุมชนรู้จักวิธีการเลี้ยงปลา ไม่ใช่วิธีการนำปลาไปแจกเพราะหมดยุคสมัยในการทำเช่นนั้นแล้ว
ปัจจุบันประเทศไทยของเรามิได้มีเงินเหลือเฟือ หรือมีเงินทุนที่จะทำโครงการพัฒนาใดได้ อย่างคล่องตัวอีกแล้ว เงินทุนที่มาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศไทยยังจำเป็นต้องอาศัยการกู้ยืมจากต่างประเทศเสริมสภาพคล่องให้การเงิน และการคลังดำรงสภาพอยู่ต่อไปได้ และหากเรายังต้องพึ่งพาอาศัยเงินกู้จากต่างประเทศ เพราะงบประมาณของรัฐจำเป็นต้องตั้งไว้เพื่อการใช้หนี้ต่างประเทศในทุกปี เรื่อย ๆ ไปและยิ่งทำให้งบประมาณในงบลงทุนเพื่อการพัฒนาต่าง ๆ ลดลงเป็นลำดับเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หนทางในการอยู่รอดของประเทศไทยก็ยังพอมีหนทาง นั่นคือ การหยุดกู้เงินจากต่างประเทศ ก้มหน้าก้มตาใช้หนี้ที่มีอยู่ให้ทุเลาเบาบางลงไป และสิ่งสำคัญที่สุด จะต้องเสริมศักยภาพของชุมชนทุกชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เป็นชุมชนที่พึ่งพาตนเองได้ พึ่งพาภายนอกชุมชนให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ดี หลักการดังกล่าวข้างต้นน่าจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ นั่นก็คือ เหล่านักพัฒนาทุกภาคไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ และเอกชน ที่มีจิตสาธารณะต้องออกมาทำงานกันให้มาก ๆ ทำงานตามบทบาทภารกิจ และตามความถนัดของตนเอง นั่นก็คือ การผลักดันให้เกิดแผนแม่บทชุมชนของแต่ละชุมชนขึ้นมาให้ได้ หากชุมชนทุกชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ นั่นก็หมายถึงประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้เช่นกัน
ที่มา http://www.rakbankerd.com/
การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
ที่มา http://www.cdd.go.th/kmcd
กระบวนการเสริมสร้างการมีส่วนร่วม
กระบวนการมีส่วนร่วม นับเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาในทุกระดับเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ การวางแผน การปฏิบัติตามแผน การติดตามประเมินผลในกิจกรรม/โครงการของชุมชน เป็นการสร้าง/ปลูกฝังจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของกิจกรรม/โครงการ นั้น
ความหมายของการมีส่วนร่วม
สายทิพย์ สุคติพันธ์ (2534) กล่าวว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงกลไกในการพัฒนา จากการพัฒนาโดยรัฐ มาเป็นการพัฒนาที่ประชาชนมีบทบาทหลัก การมีส่วนร่วมของประชาชน จึงหมายถึงการคืนอำนาจ (Empowerment) ในการกำหนดการพัฒนาให้ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการริเริ่มและดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสภาพความเป็นอยู่การพัฒนา การแก้ไขปัญหา การกำหนดอนาคตของประชาชนเอง
การมีส่วนร่วมของ HO (1983) ให้ความเห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนควรมีเนื้อหาประกอบด้วยการเน้นคุณค่าการวางแผนระดับท้องถิ่น การใช้เทคโนโลยี/ทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพประชาชนให้สามารถดำเนินการพัฒนาด้วยตนเองได้ การแก้ไขปัญหาของความต้องการพื้นฐานโดยสมาชิกชุมชน การเอื้ออาทร ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามแบบประเพณีดั้งเดิม การใช้วัฒนธรรมและการสื่อสารที่สอดคล้องกับการพัฒนาโดยใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และความชำนาญของประชาชนร่วมกับวิทยากรที่เหมาะสมและมีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานพัฒนานั้น ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน โดยมีนักวิชาการจากภายนอกเป็นผู้ส่งเสริม/สนับสนุนทั้งในด้านข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีที่เหมาะสม แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การมีส่วนร่วมในขั้นการริเริ่มการพัฒนา เป็นขั้นตอนที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหา/สาเหตุของปัญหาภายในชุมชน ตลอดจนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกำหนดความต้องการของชุมชน และจัดลำดับความสำคัญของความต้องการของชุมชน
ขั้นตอนที่ 2 การมีส่วนร่วมในขั้นการวางแผนในการพัฒนาซึ่งเป็นขั้นตอนของการกำหนดนโยบายวัตถุประ สงค์ของโครงการ วิธีการตลอดจนแนวทางการดำเนินงานและทรัพยากรที่จะใช้
ขั้นตอนที่ 3 การมีส่วนร่วมในขั้นตอนการดำเนินการพัฒนา เป็นส่วนที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณเทคโนโลยี ฯลฯ จากองค์กรภาคีพัฒนา
ขั้นตอนที่ 4 การมีส่วนร่วมในขั้นตอนรับผลประโยชน์จากการพัฒนา ซึ่งเป็นทั้งการได้รับผลประโยชน์ทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจ
ขั้นตอนที่ 5 การมีส่วนร่วมในขั้นประเมินผลการพัฒนา เป็นการประเมินว่า การที่ประชาชนเข้าร่วมพัฒนา ได้ดำเนินการสำเร็จตามวัตถุประสงค์เพียงใด การประเมินอาจประเมินแบบย่อย (Formative Evaluation) เป็นการประเมินผลความก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ หรืออาจประเมินผลรวม (Summative Evaluation) ซึ่งเป็นการประเมินผลสรุปรวมยอด
ลักษณะของการมีส่วนร่วม
ในงานพัฒนาโดยทั่วไป ประชาชนอาจเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจว่าจะทำอะไร เข้าร่วมในการนำโครงการไปปฏิบัติ โดยเสียสละทรัพยากรต่าง ๆ เช่น แรงงาน วัสดุ เงิน หรือร่วมมือในการจัดกิจกรรมเฉพาะด้าน เข้าร่วมในผลที่เกิดจากการพัฒนาและร่วมในการประเมินผลโครงการ นอกจากลักษณะการมีส่วนร่วมดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีผลการศึกษาอีกบางส่วนที่กล่าวถึงลักษณะการมีส่วนร่วม โดยแบ่งตามบทบาทและหน้าที่ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาดังนี้คือ
1. เป็นสมาชิก 2. เป็นผู้เข้าประชุม 3. เป็นผู้บริจาคเงิน 4. เป็นประธาน 5. เป็นกรรมการ กล่าวโดยสรุปลักษณะการมีส่วนร่วมอาจแบ่งโดย
1. การสนับสนุนทรัพยากร คือ การสนับสนุนเงิน วัสดุอุปกรณ์ แรงงาน การช่วยทำกิจกรรม ร่วมประชุมร่วมแสดงความคิดเห็น
2. อำนาจหน้าที่ของผู้เข้าร่วม คือ ความเป็นผู้นำ เป็นกรรมการเป็นสมาชิกปัจจัยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
การที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วม นอกจากการปลูกฝังจิตสำนึกแล้วจะต้องมีการส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางซึ่งควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. ปัจจัยเกี่ยวกับกลไกของภาครัฐ ทั้งในระดับนโยบายมาตรการ และการปฏิบัติที่เอื้ออำนวย รวมทั้งการสร้างช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชน จำเป็นที่จะต้องทำให้การพัฒนาเป็นระบบเปิดมีความเป็นประชาธิปไตย มีความโปร่งใส รับฟังความคิดเห็นของ P และมีการตรวจสอบได้
2. ปัจจัยด้านประชาชน ที่มีสำนึกต่อปัญหาและประโยชน์ร่วมมีสำนึกต่อความสามารถและภูมิปัญญาในการจัดการปัญหาซึ่งเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ ซึ่งรวมถึงการสร้างพลังเชื่อมโยงในรูปกลุ่มองค์กร
เครือข่ายและประชาสังคม
3. ปัจจัยด้านนักพัฒนาและองค์กรพัฒนา ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการส่งเสริมกระตุ้น สร้างจิตสำนึก เอื้ออำนวยกระบวนการพัฒนาสนับสนุนข้อมูลข่าวสารและทรัพยากรและร่วมเรียนรู้กับสมาชิกชุมชน
การพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชน
1. การเสริมสร้างพลังอำนาจแก่ประชาชนข่าย
2. การสร้างองค์กรและพลังเครือข่าย 3. การวางแผนระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ 4. การกระจายอำนาจ 5. การใช้หลักเศรษฐกิจแบบพอเพียง การพึ่งตนเองแทนการพี่งพา 6. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่เหมาะสมให้กับประชาชน การพัฒนาทักษะเฉพาะด้านการตลาด 7. การพัฒนาศักยภาพผู้นำและเครือข่าย ให้มีความรู้ ความสามารถ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุนการจัดเวทีประชาคม
ปัญหาอุปสรรคที่มีต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน
1. อุปสรรคด้านการเมือง เกิดจากการไม่ได้กระจายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่ประชาชน โครงสร้างอำนาจทางการเมือง การปกครอง การบริหาร เศรษฐกิจ ตกอยู่ในกำมือของทหาร นายทุน และข้าราชการ
2. อุปสรรคด้านเศรษฐกิจ เกิดจากการขาดความสามารถในการพี่งตนเอง อำนาจการต่อรองมีน้อย กระบวนการผลิต ปัจจัยการผลิตอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์
3. อุปสรรคด้านวัฒนธรรม ขนบประเพณีในแต่ละพื้นที่ที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้เนื่องจากขัดต่อขนบธรรมเนียงประเพณีของชุมชน/เผ่า ฯลฯ
นอกจากนี้ ปรัชญา เวสารัชช์ (2526 ) กล่าวว่าปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคม เป็นอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน คือ
1. ความแตกต่างในสังคม ด้านรายได้ อำนาจ และฐานะทางเศรษฐกิจ
2. ระบบการเมืองถูกควบคุมโดยคนกลุ่มน้อย 3. ขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการแจกแจงทรัพยากร
จากการศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน สรุปได้ดังนี้
1. ปัญหาด้านนโยบายและองค์กรภาครัฐ มี 2 ระดับ คือ
1.1 ระดับนโยบาย โครงสร้างทางการบริหาร โครงสร้างทางสังคม พบว่า นโยบายของรัฐไม่เอื้อต่อการพัฒนา อำนาจการตัดสินใจรวมศูนย์ที่ส่วนกลางไม่มีการกระจายอำนาจให้แก่ประชาชน โครงสร้างอำนาจทางการเมือง การบริหารและระบบเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มนายทุน
1.2 ระดับปฏิบัติพบว่า เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดทักษะในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ขาดการประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ความล่าช้าในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ขาดการประสานงาน และการติดตาม/ประเมินผลที่เป็นระบบ
2. ปัญหาเกี่ยวกับประชาชน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
2.1 กลุ่มผู้นำ พบว่า มีการครอบงำความคิดประชาชน แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ขาดความศรัทธาจากประชาชน
2.2 กลุ่มประชาชนทั่วไป พบว่า ประชาชนมีภาระด้านการประกอบอาชีพด้านครอบครัว ด้านสุขภาพร่างกายประชาชนขาดทุนทรัพย์ วัสดุอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดเห็น/ผลประโยชน์การแบ่งพรรคแบ่งพวก การขาดความสามัคคี การขาดการศึกษา ขาดความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ ขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่สนใจ ไม่เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วม ไม่ศรัทธาในตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขาดการยอมรับในสิทธิและบทบาทสตรี
3. ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองการปกครอง
3.1 ด้านการเมือง ขาดการกระจายอำนาจ ระบบการเมืองถูกควบคุมโดยคนกลุ่มน้อย
3.2 ด้านเศรษฐกิจ กระบวนการผลิต/ปัจจัยการผลิตอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม กลไกของรัฐควบคุมระบบเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด ขาดกลไกทีมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากร 3.3 ด้านสังคมและวัฒนธรรม การแบ่งแยกเชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ การขาดการศึกษา การครอบงำของผู้นำ และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ความยากจนตกอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระบบอุปถัมภ์
ที่มา http://www.cdd.go.th/kmcd |